COLON CANCER

151359 จำนวนผู้เข้าชม  | 

มะเร็งลำใส้

รู้เร็ว รักษาได้

ภัยใกล้ตัว !!! มะเร็งลำไส้
วายร้ายที่ไม่ควรมองข้าม

 

มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

เป็นมะเร็งที่เกิดที่ลำไส้ส่วนปลายของระบบทางเดินอาหาร พบมากเป็นอันดับสามของมะเร็งทุกชนิดและเป็นสาเหตุการตายเป็นอันดับสองที่พบในประเทศไทย
 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

  • การได้รับถ่ายทอดทางพันธุกรรม พ่อ แม่ หรือญาติพี่น้อง และทายาทสายตรง
  • มีประวัติพบเนื้องอก (Polyps) ในลำไส้ หากพบมากมีแนวโน้มเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะลำใส้อักเสบเรื้อรัง
  • ประวัติการเจ็บป่วยเดิมเช่นเคยเป็นมะเร็งรังไข่, มะเร็งมดลูก, มะเร็งเต้านมมีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และ มะเร็งทวารหนักได้
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานโอกาสเป็นมะเร็งได้ง่าย
  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
  • การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
  • การรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์หรือประเภทเนื้อแดง ที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนนานๆ มากเกินไป
  • การรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายและมีการตกค้างที่ลำไส้ มักพบสารพิษในอาหารประเภท ปิ้ง ย่าง อาหารหมักดอง และ สารเคมีจากผักที่ไม่สะอาด
  • ผู้ที่มีประวัติดื่มสุราหรือสูบบุหรี่
  • ผู้ที่เป็นโรคอ้วน โดยเฉพาะผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายเกินมาตรฐาน (มากกว่า 25 หรือมีรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว)

 

 

มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคที่พุ่งขึ้นมาติดอันดับต้นๆ และทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด โดยจากสถิติพบผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่เพศชาย 10 คนต่อประชากรชาย 100,000 คน และเพศหญิง 7 คนต่อ 100,000 คน แต่รู้ไหมว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่ป้องกันได้หากเรารู้สัญญาณ การสังเกตอาการ และวิธีป้องกันตัวเอง เพราะสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากกรรมพันธุ์เป็นส่วนหนึ่งแล้ว พฤติกรรมการทานอาหารของคนไทยเรานี่ล่ะ คือ สาเหตุหลักของมะเร็งลำไส้ใหญ่

ที่สำคัญ มะเร็งลำไส้ใหญ่ยังเป็นโรคที่จะส่งสัญญาณเตือนออกมาเป็นอาการที่เราเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน หากคอยหมั่นสังเกตตัวเองสักนิด ก็จะรู้ทันและสามารถป้องกันและหยุดยั้งแต่เนิ่นๆ ได้ และนี่คือ 6 สัญญาณเตือนของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

1. ท้องผูกบ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ

บางคนมีปัญหาเรื่องท้องผูกมาตั้งแต่เด็กๆ อาจเป็นเพราะพฤติกรรมการกินที่ไม่กินผักผลไม้ ร่างกายไม่ได้รับไฟเบอร์เพียงพอ และดื่มน้ำน้อย ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานไม่ดี แต่ในบางคนอาจมีอาการท้องผูก เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตในวัยทำงาน และปล่อยให้ท้องผูกเรื้อรังจนมองว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิต พฤติกรรมนี้ล่ะ คือสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าคุณมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคต

2. อุจจาระลีบเป็นลำเล็ก

เนื่องจากมะเร็งลำไส้ใหญ่มักเริ่มจากการมีติ่งเนื้อขึ้นมาในลำไส้ ซึ่งอาจเป็นติ่งเนื้อธรรมดาไม่ใช่เนื้อร้าย แล้วจึงพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งในภายหลัง การมีติ่งเนื้อขึ้นขวางภายในลำไส้นี้จึงทำให้อุจจาระที่เคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่มีลักษณะถูกบีบให้เป็นลำเล็กลีบ ดังนั้นหากสังเกตได้ว่าอุจจาระมีลักษณะเล็กลีบเป็นประจำ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณมีก้อนเนื้อหรือติ่งเนื้อขึ้นในลำไส้

3. มีเลือดสดหรือเลือดสีแดงเข้มมากปนมากับอุจจาระ

อาจเกิดจากอุจจาระที่แข็งเมื่อเบียดกับติ่งเนื้อที่ขึ้นผิดปกติภายในลำไส้เกิดเป็นแผลทำให้มีเลือดออกและปนออกมาในบางครั้งที่ขับถ่าย

4. มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูก

การอุจจาระแข็ง และ เหลวสลับกัน เป็นติดต่อกันแบบมีอาการเรื้อรัง ถึงแม้ว่าจะกินอาหารที่เหมาะสมไม่ได้เป็นสาเหตุให้ท้องเสียก็ยังมีอาการนี้อยู่ นี่อาจเป็นความผิดปกติที่เกิดจากภายในลำไส้

5. กินอาหารเท่าเดิมแต่น้ำหนักลดฮวบฮาบ

ลักษณะอาการคือน้ำหนักตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีพฤติกรรมการกินอาหารแบบเดิมหรือมากกว่าเดิม

6. อ่อนเพลียอ่อนแรงแบบไม่มีสาเหตุ

อาจเกิดจากการที่มีเลือดออกในลำไส้ ปนออกมากับอุจจาระ หากเสียเลือดจากการขับถ่ายมากอาจมีภาวะซีด และโลหิตจางร่วมด้วย และ ยิ่งทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียอ่อนแรง        ต่อเนื่องมากขึ้นอีก ถึงแม้โรคมะเร็งลำไส้ จะเป็นมะเร็งร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับสามในปัจจุบันนี้ แต่หากเราระวังในพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต และหมั่นสังเกตตัวเองได้ทันการ จะได้รีบทำการรักษาได้ทันท่วงที โอกาสรอดชีวิตก็ยิ่งสูงขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้

(Risk of Colorectal cancer)

มะเร็งลำไส้ (Colorectal cancer) เป็นมะเร็งที่พบเป็นลำดับที่ 4 ในสหรัฐอเมริกา และในปี 2016 ประมาณการว่าพบผู้ป่วยใหม่ ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ 95,270 ราย/ปี และลำไส้ตรง 39,220 ราย/ปี และในปีเดียวกันพบว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตถึง 49,190 ราย จากมะเร็งลำไส้ใหญ่ และ ลำไส้ตรง

สำหรับประเทศไทย มะเร็งลำไส้ อุบัติการณ์ของการเกิด มะเร็งลำไส้มากเป็นลำดับที่ 4 เช่นกัน หรือพบผู้ป่วยรายใหม่ 11,496 ราย/ปี อัตราการเสียชีวิต 6,845 ราย/ปี รองจาก มะเร็งตับ, มะเร็งปอด และ มะเร็งเต้านม ตามลำดับ ซึ่งอัตราการตายในมะเร็งลำไส้นั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อมีการตรวจคัดกรอง และ ป้องกันการเกิดด้วยการตัดติ่งเนื้อ (Polypectomy) ตั้งแต่อาการเริ่มแรกของตัวโรคเริ่มเกิดขึ้น ดังนั้น การทราบถึงปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค จึงเป็นประโยชน์ ในการที่ทราบถึงกลุ่มเสี่ยง แง่ของการตรวจคัดกรองในกลุ่มต่าง ๆ อีกด้วย

กลุ่มเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงที่ต่างกันโดยปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวมีดังต่อไปนี้

1.    ปัจจัยความเสี่ยงจากตัวบุคคล (Non-modifiable risk factors)
2.   ปัจจัยความเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อม (Environmental risk factors) 

พบว่าอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป และเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอายุมากกว่า 50 ปี โดย ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้มากกว่า ร้อยละ 90 มีอายุมากกว่า 50 ปี และยิ่งในช่วงอายุ 60-79 ปีพบว่า มีโอกาสเสี่ยงมากถึง 50 เท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มคนอายุน้อยกว่า 40 ปี แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน พบผู้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ ในกลุ่มคนอายุ 20-49 ปี เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
 
     -    ประวัติการเกิดมะเร็งลำไส้ในครอบครัว(Family history of colorectal cancer) 


แม้ว่าผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ส่วนใหญ่จะเกิดในคนที่ครอบครัวไม่มีประวัติการเป็นมะเร็งลำไส้ในครอบครัว แต่ทว่า พบว่ามีโอกาส มากกว่าร้อยละ 20 ในการป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ของคนที่มีประวัติมีผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ในครอบครัว สำหรับเหตุผลยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าอาจเกิดจาการถ่ายทอดทางพันธุกรรม และ สิ่งแวดล้อมที่มีลักษณะเหมือนกัน ร่วมกันหลายปัจจัย

     -    การถ่ายทอดทางพันธุกรรม (Inherited Genetic Risk)


ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 5-10 ของมะเร็งลำไส้เป็นผู้ป่วยที่เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ได้แก่ Familial adenomatous polyposis (FAP), Hereditary nonpolyposis colorectal cancer (HNPCC) หรือ Lynch syndromeในผู้ป่วย FAP ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 1 ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ทั้งหมด สาเหตุเกิดจากการ mutation ของ APC tumor suppressor gene ถ่ายทอดผ่าน Autosomal dominant manner  โดย มาปรากฏด้วยอาการติ่งเนื้อในลำไส้มากกว่า 100 เม็ดขึ้นไป มักปรากฏตั้งแต่อายุยังน้อย และกลายเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุยังน้อย หากอายุ 40 ปีขึ้นไปโดยมากมักกลายเป็นมะเร็งลำไส้เกือบทั้งหมดหากไม่ได้รับการผ่าตัด  ฉะนั้นการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ตั้งครรภ์ จึงจำเป็นในกรณีที่สามีภรรยา มีประวัติเป็น FAP และต้องการมีบุตร

ในส่วนของ ผู้ป่วย HNPCC หรือ Lynch syndrome คิดเป็นร้อยละ 2-6 ของมะเร็งลำไส้ สาเหตุเกิดจากการ mutation ใน MLH1 และ MLH2 gene DNA repair pathway  ตลอดช่วงชีวิตมีโอกาสการเกิดมะเร็งลำไส้ สูงถึง ร้อยละ 70-80 และอายุเฉลี่ยของการเกิดมะเร็งลำไส้อยู่ที่ประมาณ 40-50 ปี และยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อื่นๆได้อีก เช่น มะเร็งมดลูก, มะเร็งกระเพาะ, มะเร็งลำไส้เล็ก, มะเร็งตับอ่อน, มะเร็งไต, มะเร็งท่อทางเดินปัสสาวะ ได้

     -    ประวัติการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ (Personal history of Adenomatous polyp)

ประวัติติ่งเนื้อในลำไส้ที่เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ Neoplastic polyp อันได้แก่ tubular และ villous adenomas ซึ่งเป็นรอยโรคที่สามารถกลายเป็นมะเร็งลำไส้ได้ในอนาคต  ผลสำรวจในสหรัฐอเมริกาพบว่าในช่วงชีวิต มีโอกาสที่จะเกิดติ่งเนื้อได้ ร้อยละ 19 และ ร้อยละ 95 ของ ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้แบบ Sporadic มีการเกิดจาก adenomatous polyp สำหรับการพัฒนาการเกิดมะเร็งลำไส้จากติ่งเนื้อนั้น ใช้ระยะเวลา 5-10 ปี ดังนั้นหากเราตรวจพบและรักษาตั้งแต่ติ่งเนื้อจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ แต่อย่างไรก็ตามการมีประวัติการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้แบบ Neoplastic polyp ได้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ในตำแหน่งอื่น ๆ ของลำไส้เพิ่มขึ้นด้วย

             -    ประวัติการเกิดลำไส้อักเสบ (Personal history of Inflammatory bowel disease)


ลำไส้อักเสบเรื้อรัง(Inflammatory bowel disease)สามารถแบ่งเป็นโรคได้สองโรค คือ Ulcerative colitis และ Crohn disease ในส่วนของ  Ulcerative colitis สาเหตุเกิดจากการอักเสบ ในส่วนของ mucosa ของลำไส้ แต่สำหรับ Crohn disease สาเหตุเกิดจาก การอักเสบตลอดชั้นของลำไส้ บางส่วนเกิดการอักเสบได้ที่ปากและทวารหนัก ซึ่งการเกิดการอักเสบของลำไส้ทั้งสองโรคนี้เพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งลำไส้มากขึ้น 4-20 เท่า ดังนั้นในผู้ป่วยที่ป่วยเป็นลำไส้อักเสบเรื้อรัง จึงจำเป็นต้องได้รับการตรวจคัดกรองโรคถี่ขึ้นเป็นพิเศษ

2.    Environmental risk factor

          มะเร็งลำไส้ มี ความเสี่ยงหลายปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่นมีการเก็บข้อมูลของผู้ย้ายถิ่นฐานจากประเทศที่ มีอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ต่ำไปยังประเทศที่มีอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้สูง พบว่า อัตราการเกิดมะเร็งเพิ่มขึ้นตามกลุ่มคนที่อยู่ในประเทศนั้นด้วย ปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมต่างมีดังต่อไปนี้


          อาหาร (Nutritional Practices)

          อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญหนึ่งในการเกิดมะเร็งลำไส้ การกินอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ โดยการ degrade ตัว bile salt ด้วย แบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ คือ องค์ประกอบของ N-nitroso compound การบริโภคเนื้อสัตว์ สัตว์เนื้อแดง ในปริมาณสูง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ โดยการ ย่อยสลาย Heme iron ในเนื้อแดง นอกจากนี้ การปรุงอาหารด้วยอุณหภูมิสูง เช่น การปิ้งย่าง เป็นผลทำให้เกิด heterocyclic amines และ poly aromatic hydrocarbon ซึ่งสารประกอบทั้งคู่ ล้วนมีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็ง มีบางงานวิจัยพบว่าในคนที่กินผักผลไม้น้อยเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ เพิ่มการ transit time ทำให้อุจจาระค้างอยู่ในลำไส้นานขึ้น

การออกกำลังกายและน้ำหนักเกิน (Physical activity and obesity)

          มีรายงาน การออกกำลังกายและน้ำหนักมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของ มะเร็งลำไส้ เมื่อออกกำลังกายและการเพิ่ม Metabolic rate จะส่งผลให้ ลำไส้มีการทำงานมากขึ้น เคลื่อนตัวมากขึ้น มีการเพิ่มการใช้งาน ออกซิเจน  ผลในระยะยาวจะทำให้ ความดันในร่ายกายลดลง insulin resistant ลดลง และ ยังส่งผลในเรื่องของน้ำหนักตัวที่ลดลงด้วย ผลที่ตามมาจากการที่นำหนักตัวลดลง ทำให้ Estrogen ในเลือดลดลงจากการที่ซึ่ง Estrogen เชื่อว่าการมีในระดับสูงจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งขึ้น


การสูบบุหรี่ (Cigarette smoking)

          ความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่ กับ มะเร็งปอด นั้นมีรายงานออกมาชัดเจน และ ในส่วนของมะเร็งลำไส้นั้นพบว่า ร้อยละ 12 ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้นั้นสูบบุหรี่ พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเกิดและเจริญเติบโตขึ้นของ Adenomatous polyp การสูบบุหรี่ในระยะยาวพบว่า มีความสัมพันธ์กับ Adenomatous polyp ขนาดใหญ่


การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ (Heavy alcohol consumption)

          การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้เช่นกันกับการสูบบุหรี่ ผลลัพท์ที่ได้จากการย่อยสลาย แอลกอฮอล์ คือ Acetaldehyde ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง ซึ่งการบริโภคแอลกอฮอล์ร่วมกับการสูบบุหรี่ จะมีผลเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งมากขึ้น โดย บุหรี่จะกระตุ้นให้เกิดการ mutation ของ DNA และ แอลกฮอล์จะไปยับยั้งกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ทำให้ทำงานได้ไม่ดี อีกทั้งแอลกฮอล์เป็นตัวทำละลายสามารถเข้าสู่เซลล์ ได้ง่ายและเป็นตัวกระตุ้นก่อให้เกิดมะเร็ง และยังทำให้เพิ่มการสร้าง Prostaglandins, Lipid peroxidation และ เพิ่ม Free radical oxygen อีกด้วย

          การทราบถึงปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ ช่วยในการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง อีกทั้งช่วยในการเฝ้าระวังในกลุ่มที่มีความเสี่ยง และ การเริ่มการคัดกรองในกลุ่มเสี่ยง ดังนั้นการออกกำลังการการกินอาหาร และการระวังไม่ให้น้ำหนักเกิน จึงเป็นสิ่งที่ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิด และช่วยลดอัตตราตายและผลกระทบที่เกิดจากมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย

อาการโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

  • ท้องอืด ท้องผูกหรือท้องเสียสลับกับท้องผูก
  • มีเลือดปนมาในอุจจาระ
  • มีเลือดออกทางทวารหนัก
  • อุจจาระมีขนาดเล็กหรือบางลง
  • อาการจุกเสียด แน่น หรือปวดท้องบ่อยๆ
  • ซีด อ่อนเพลีย น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • อาจคลำได้ก้อนในช่องท้องมักพบด้านขวาตอนล่าง
  • ปวดเบ่งบริเวณทวารหนักคล้ายปวดอุจจาระตลอดเวลา
 
การตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะแรก

  • การตรวจหาเลือดในอุจจาระ 2 ครั้งต่อปี
  • การเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่โดยใส่แป้งเข้าทางทวารหนัก (Barium enema)
  • การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่ (CT-Colonography)
  • การตรวจโดยการส่องกล้อง Singmoidscopy และ Colonoscopy
  • การตรวจเลือดดูระดับโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างโดยเซลล์มะเร็ง CEA

การรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

  • การผ่าตัด เป็นวิธีที่ดีที่สุดหลังจากแพทย์ได้พบว่ามีชิ้นเนื้อในลำไส้จากการตรวจด้วยวิธีส่องกล้องทางทวารหนัก และมีความจำเป็นต้องผ่าตัด
  • การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)
  • การฉายแสง (รังสีรักษา)
 
การป้องกันการเกิดมะเร็ง

  • การค้นหามะเร็งควรเริ่มทำตั้งแต่อายุ 50 ปี ขึ้นไปในคนปกติ คนที่มีโอกาสเสี่ยงครอบครัวเคยมีประวัติเป็นมะเร็งควรทำการตั้งแต่อายุ 40 ปี ขึ้นไป
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง


การขับถ่ายเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องทำเป็นกิจวัตร แต่ในความเป็นจริงมีหลายคนเหมือนกันที่เรื่องการขับถ่ายไม่ใช่เรื่องของกิจวัตร เพราะบางคนกว่าจะถ่าย มี 3-5 วัน จนเวลาถ่ายออกมา มักพบความผิดปกติ เช่น มีเลือดปนมาพร้อมอุจจาระ และคิดว่าอาจมาจากการเป็นริดสีดวงทวาร  ทั้งที่ความผิดปกติดังกล่าวอาจเป็นภัยเงียบที่นำไปสู่โรคร้ายได้

มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นมะเร็งที่พบบ่อยทั้งในไทยและทั่วโลก ส่วนใหญ่พบในคนที่อายุมากกว่า 50 ปี โดยผู้ป่วยจะขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย อุจจาระมีเลือด เป็นต้น ผู้ป่วยบางรายมาพบแพทย์เพราะเสียเลือดจนเป็นโลหิตจาง ส่วนมากจะพบมะเร็งบริเวณลำไส้ใหญ่ในช่องท้องมากกว่าลำไส้ตรง มะเร็งชนิดนี้เกิดจากการรับประทานอาหารไขมันสูงเป็นประจำ และ ส่วนหนึ่งเกิดจากกรรมพันธุ์ มักรักษาไม่หายขาด ต้องใช้การส่องกล้องหรือวิธีอื่นเพื่อตรวจหาโรค และตัดเนื้อร้ายออกเพื่อป้องกันการลุกลามของโรค

การตรวจพบว่าป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้นมีตั้งแต่การพบหลังจากตรวจคัดกรอง และพบเมื่อมีอาการ เช่น การถ่ายอุจจาระเป็นเลือดซึ่งเป็นอาการเบื้องต้นที่คนไข้ส่วนใหญ่มาพบแพทย์และค่อนข้างวิตกกังวล บางคนถ่ายอุจจาระปนเลือด หรือ บางคนถ่ายออกมาเป็นเลือดโดยไม่มีอุจจาระปนเลย ซึ่งการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือไม่นั้น ทำได้โดยการตรวจส่องกล้อง ซึ่งหากรู้สึกว่าเกิดความผิดปกติและตรวจสอบเจอได้เร็ว การหายขาดเป็นเรื่องที่ทำได้ โดยหากเจอในระยะที่ 1-2 ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะหายขาดได้

 

อาการที่พบบ่อยของผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือ อุจจาระมีลักษณะสีเข้ม และมีเลือดปน
  • อุจจาระเหลว และสลับกับแข็ง มีอาการเหมือนถ่าย
  • อุจจาระไม่หมด โดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีอาการท้องผูกบ่อย ๆ ปวดท้อง ท้องอืดมากกว่า 2-3 วัน
  • อุจจาระมีลักษณะแคบ และเล็กมากกว่าปกติ
  • มีอาการท้องอืด แน่นในช่องท้อง ไม่สบายท้อง ติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • มีอาการปวดถ่ายอุจจาระต้องเข้าห้องน้ำทันทีแต่ปรากฏว่าถ่ายอุจจาระเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  • มีอาการถ่ายอุจจาระไม่สุด
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีอาการเหนื่อยและอ่อนเพลีย 

ใครควรได้รับการตรวจระบบทางเดินอาหาร

  • คนที่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อแดง อาหารที่มีไขมันสูง กากใยน้อย
  • คนที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และ สูบบุหรี่
  • คนที่มีอาการลำไส้ระคายเคือง หรือ ลำไส้อักเสบเรื้อรัง
  • คนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป
  • คนที่ครอบครัวเคยมีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ 

มะเร็งลำไส้ป้องกันได้

แน่นอนว่ามะเร็งมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ปล่อยปละละเลยในการดูแลใส่ใจในพฤติกรรมการรับประทานอาหารของตัวเอง หากเราสามารถหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกนี้ได้เช่น อาหารไหม้เกรียม อาหารมัน อาหารปิ้งย่าง เป็นต้น รวมถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่จะทำให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งคือ การสูบหรี่ ดื่มเหล้า ไม่ออกกำลังกาย หากเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ หันมาทานอาหารที่มีกากใยสูง ทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานผักใบเขียวเยอะๆ ออกกำลังเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะสามารถลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ไปได้

มะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่ใช่โรคที่น่ากลัว เพียงแค่เรามีพฤติกรรมการกินที่ถูกหลักโภชนาการ และหลากหลาย หมั่นสังเกตตัวเองว่าการขับถ่ายเป็นปกติดีหรือไม่ และเมื่อพบความผิดปกติก็ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อจะรักษาได้อย่างทันท่วงที ส่วนใครที่ยังไม่มีอาการแสดง ควรตรวจสุขภาพ และตรวจคัดกรองระบบทางเดินอาหาร เพื่อเป็นการป้องกันและห่างไกลมะเร็งลำใส้

 

 

 

ข่าวดี.... วงการแพทย์ไทย

ค้นพบนวัตกรรมใหม่

ในการ "รักษามะเร็ง

ศ.ดร.ปรัชญา  คงทวีเลิศ นักวิจัยม.เชียงใหม่

ค้นพบสารเซซามิน กำจัดเซลล์มะเร็ง 

 

 

 

ถ้าคุณกำลังป่วยเป็นมะเร็ง   
   กำลัง หมดหวัง ท้อแท้   
เปิดใจ ชมคลิปนี้ เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษามะเร็ง
 

ทางเลือกใหม่..... ของการรักษามะเร็ง
ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง....... ไม่ให้ลุกลาม
เป็นการรักษามะเร็ง ด้วยวิธี ที่ปลอดภัย

 

 

หมอที่เก่งที่สุดในโลก คือ ร่างกายมนุษย์  
หมอที่เก่งที่สุดในร่างกายมนุษย์ คือ "ภูมิคุ้มกัน"
  สรุป สารสกัดเซซามิน (Sesamin)  
  เข้าไปทำอะไรกับ เซลล์มะเร็ง  
  1. เซลล์มะเร็ง คือเซลล์ที่อยู่ในร่างกายเรา ที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เซลล์มะเร็ง มีการกระจายตัว มันสามารถส่งสารไปกระตุ้นให้เส้นเลือดงอกเส้นเลือดมาที่ตัวก้อนมะเร็ง แล้วส่งอาหาร จากทางเส้นเลือดเพื่อไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง จากการศึกษา ในหลอดทดลองจากห้องแลป เซซามินไปปิดกั้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ ที่จะไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งไม่ได้รับอาหาร
  2. เซซามิน (Sesamin) ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง IL2 ( ซึ่งสาร IL2 ตัวนี้ สหรัฐอเมริกายอมรับว่าเป็นสารที่สามารถไปยับยั้งเซลล์มะเร็ง) ซึ่งสาร IL2 นี้แหละที่จะทำให้เม็ดเลือดขาวหรือภูมิคุ้มกันของเราทำงานได้ดีขึ้น และไปจัดการกับเซลล์มะเร็ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไปกระตุ้นบนผิวเซลล์ แล้วส่งสัญญาณเข้าไปภายในเซลล์มะเร็ง มันถูกยับยั้งโดยสารเซซามิน เป็นการอธิบายถึงกลไกภายในเซลล์วิจัยถึงระดับโมเลกุล
  3. เซซามิน (Sesamin) ยังไปทำให้เซลล์มะเร็งตาย เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายถูกโปรแกรมมาให้เกิดขึ้นและ มีอายุ แล้วก็จะตายไป ยกเว้นเซลล์มะเร็ง ที่มันสามารถ มีอายุและเจริญเติบโตขยายตัวได้โดยไม่มีการตายหรือไม่เข้าสู่ Program Cell Dead เซซามิน สามารถไปแก้โปรแกรมให้เซลล์มะเร็ง เข้าสู่ Program Cell Death หรือฆ่าตัวตาย

 

เป็นมะเร็งอาจดูน่ากลัว   
  เมื่อเป็นแล้ว อาจเสียชีวิตได้  


วันนี้!!! ป้องกันได้ ด้วยสารอาหารจากธรรมชาติ แต่วันนี้วิทยาการทางการแพทย์มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง มีการใช้สารสกัดจากอาหารนำมาทานเพื่อดูแลฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกาย แต่ให้ประสิทธิผลดีกว่ายา

ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ค้นคว้ามากว่า 20 ปี จนกระทั่งคิดค้นสารสกัดเซซามิน ที่สามารถฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกายได้ เป็นครั้งแรกของโลก



 นักวิจัยไทย ค้นพบ
สารเซซามินในงาดำ ครั้งแรกของโลก

 

 

ข่าวการค้นพบสารเซซามินจากงาดำ เป็นผลงานวิจัยของ ม.เชียงใหม่  การค้นพบในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก ถือว่าเป็นการพัฒนาไปอีกก้าวของวงการแพทย์ไทย และที่สำคัญ นี่เป็นครั้งแรกของโลก ที่พบว่าสารเซซามิน (Sesamin) ที่พบนั้นจะไปยั้บยั้งการฟื้นฟูเซลล์จากการถูกทำลาย หรือพูดง่ายๆ ว่า มีโอกาสที่จะใช้ในการยับยั้งมะเร็งได้ด้วย


 
สารสกัด...เซซามิน  เข้าไปทำอะไรกับ เซลล์มะเร็ง   
คลิ๊ก.....ชมคลิปนี้ !!!

 

 
สุดยอดงานวิจัยไทย...

ค้นพบ 4 คุณสมบัติสำคัญ
เซซามิน สารสกัดจากงาดำ

 

 

ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ นักวิจัย ม.เชียงใหม่
ค้นพบ "สารสกัดเซซามิน (Sesamin)"

จากงาดำ....ทำลายเซลล์มะเร็ง

คณะนักวิจัยที่ค้นพบสรรพคุณ ของสารสกัดเซซามิน (Sesamin) ในเมล็ดงาเมล็ดเล็กๆ นี้นำทีมโดย ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้ทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตของท่านอยู่ในห้องทดลอง เพื่อค้นคว้าหาหนทางใหม่ๆ มาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

 

 

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยยั้บยั้งการอักเสบ

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยลดทั้งการสังเคราะห์และลดการดูดซึมสารโคเรสเตอรอล

สารเซซามิน (Sesamin) ทำให้มะเร็งบางชนิดเข้าสู่ขบวนการทางชีวเคมีที่ทำให้เซลล์ตาย

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยยั้บยั้งการลุกลามของมะเร็ง

สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นให้ร่างกายสร้างสาร IL2 และ IFN-Gramma จากเม็ดเลือดขาว

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยดูแลเกี่ยวกับระดับน้ำตาลในเลือด

สารเซซามิน (Sesamin) ทำหน้าที่ช่วยเผาผลาญกรดไขมัน

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยทำให้ วิตตามิน E ทำงานได้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยลดอาการปวด และอักเสบบริเวณต่างๆ ของร่างกาย

สารเซซามิน (Sesamin) ลดการเสื่อมสลายของข้อกระดูก และกระดูกอ่อน

สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก

สารเซซามิน (Sesamin) ยับยั้งการดูดซึมและสังเคราะห์โคเลสเตอรอลภายในร่างกาย

สารเซซามิน (Sesamin) มีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิต

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยในการกำจัดสารพิษของตับ

สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

สารเซซามิน (Sesamin) มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามินอีให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น



นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย ที่ได้ทำการศึกษาที่หน่วยวิจัยมที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด
(Thailand Excellence Center for Tissue Engineering and Stem Cells) พบว่า

 

1. สารสกัดเซซามิน สามารถยับยั้งการทำงานของสารสื่ออักเสบ ชนิด IL-1 Beta ได้ โดยการศึกษา ได้ทำการวิจัยในเซลล์กระดูกอ่อนที่ถูกกระตุ้นด้วย IL-1 Beta และเซซามิน (Sesamin) จากนั้นทำการศึกษาระดับโมเลกุล และพบว่า สารเซซามิน (Sesamin) สามารถยับยั้งการออกฤทธิ์ของ IL-1 Beta ได้ เป็นผลทำให้มีการลดลงของเอนไซม์ MMP13 ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจน และสารชีวโมเลกุลอื่นในกระดูกอ่อน ได้อย่างชัดเจน

 

2. สารสกัดเซซามิน สามารถลดปริมาณการสร้าง หรือสังเคราะห์ของสารสื่ออักเสบชนิด Interleukin-1 Beta และ Tumor Necrosis Factor-Alpha ได้ ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาวิจัย โดยการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวด้วยเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ซึ่งเป็นผลทำให้การหลั่งสารสื่ออักเสบเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อได้รับสารสกัดเซซามิน (Sesamin) ร่วมด้วย จะทำให้มีการสร้าง และปล่อยสารสื่ออักเสบ IL-1 Beta ออกมาลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน แสดงดังรูป

 

 

จากรูปแสดงให้เห็นว่า สารสกัดงาดำ เซซามิน สามารถยับยั้งการสร้างและปล่อยสารสื่ออักเสบออกมาจากเม็ดเลือดขาว


3. เมื่อทำการศึกษาวิจัยในอาสาสมัคร โดยให้กินแคปซูลงาดำ รำข้าวสีนิล และแป้งข้าวหอมมะลิที่ผ่านขบวนการนึ่งพิเศษ ขนาดบรรจุ 500 mg. จำนวน 2 แคปซูล ตอนเช้า และเย็น เป็นระยะเวลา 15 วัน เพื่อทำการตรวจสอบการแสดงออกของยีนส์ ที่สร้างสารชีวโมเลกุลชนิด Interleukin-2(IL-2) ซึ่งเป็นสารชีวโมเลกุลที่ผลิตขึ้นมาจากเม็ดเลือดขาว และมีคุณสมบัติที่สามารถไปกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้น ซึ่งพบว่า มีการเพิ่มขึ้นของ Cytokines ทั้งสองชนิดในเลือดของอาสาสมัครทุกคน แสดงดังรูป

 สารสกัดเซซามิน (Sesamin)  คือ สารสกัดงาดำและธัญพืชสูตรที่ดีที่สุด 

เป็นผลงานวิจัยของนักวิจัยดีเด่น ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยที่มีความเป็นเลิศ ทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 

เป็นนวัตกรรมวิทยาศาสตร์ ระดับโมเลกุลของไทย ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และได้ยอมรับในเชิงวิชาการ โดยการได้จดสิทธิบัตรระดับโลก สามารถจัดจำหน่ายได้กว่า 78 ประเทศทั่วโลก

ปัจจุบันได้จดสิทธิบัตรเฉพาะประเทศ คือ ประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชา เป็นที่เรียบร้อย

 

 

สารสกัดเซซามิน SESAMIN เหมาะกับใครบ้าง?  

  • ผู้ที่ต้องการลดผลข้างเคียงในระหว่างการให้คีโม หรือ ฉายแสง ทำให้เกิดอาการแพ้น้อยลง
  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มภูมิคุ้มกันของตัวเองให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยให้ร่างกายตอบรับการรักษามะเร็ง
  • ผู้ที่ไม่สามารถใช้ คีโม หรือ ฉายแสง ในการรักษามะเร็งด้วยตัวเองได้
  • ผู้ที่ต้องการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ร่างกายสามารถกำจัดเนื้อร้าย ในการรักษามะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีผลข้างเคียงในการรักษามะเร็ง
  • ผู้ที่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นเนื้อร้าย หรือ มะเร็ง เนื้องอก ซีส
  • ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง และ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง
  • ผู้ที่มีปัญหาเม็ดเลือดขาวตก ไม่สามารถให้คีโมได้



มะเร็ง....ทุกระยะมีพิษร้ายแรง
อย่ารอให้ถึงระยะสุดท้ายแล้วค่อยรักษา
ตัดสินใจช้าอาจจะเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของคุณ
>>>แต่มีโอกาสรอดถ้าคุณรีบตัดสินใจ

 

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com