180 จำนวนผู้เข้าชม |
HPV คืออะไร?
ไวรัสใกล้ตัวที่น่ากลัวกว่าที่คิด
เชื้อ HPV คือ เชื้อที่พบได้บ่อยในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยสามารถติดต่อได้หลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นทางปาก, ช่องคลอด, ทวารหนัก หรือการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง นอกจากนี้เชื้อ HPV ยังเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งหลายประเภท เช่น มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องคลอด รวมถึงมะเร็งปากมดลูกที่เป็นโรคหลัก ๆ ที่เกิดขึ้นจากเชื้อ HPV ซึ่งในปี 2023 ประเทศไทยมีผู้หญิงที่เสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกถึงปีละ 4,700 ราย หรือเฉลี่ยวันละ 13 คน จึงถือว่าเป็นภัยเงียบที่อันตรายสำหรับทั้งเพศชายและหญิงเลยก็ว่าได้
บทความนี้จึงรวบรวมข้อมูลของเชื้อ HPV รวมถึงปัจจัยเสี่ยง และวิธีการป้องกันมาให้ทุกคนทำความเข้าใจเพื่อป้องกันและลดโอกาสเสี่ยงจากการติดเชื้อ HPV
HPV คืออะไร? ภัยเงียบแสนอันตรายที่คุกคามได้แบบไม่รู้ตัว
HPV (Human Papillomavirus) คือ กลุ่มไวรัสที่พบได้บ่อยตามเยื่อบุผิวอวัยวะเพศ ในปัจจุบันค้นพบไวรัส HPV แล้วกว่า 100 สายพันธุ์ ส่วนมากไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพ แต่มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่เป็นต้นเหตุของโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่เป็นสายพันธุ์เสี่ยงในการก่อมะเร็ง
การติดเชื้อ HPV มักเกิดจากการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง หรือการมีเพศสัมพันธ์ ผู้ป่วยสามารถติดเชื้อ HPV บริเวณอวัยวะเพศ, ทวารหนัก, ช่องปาก และลำคอทั้งเพศชายและหญิง ผู้ที่ติดเชื้อ HPV มักจะไม่แสดงอาการผิดปกติออกมา และอาจจะใช้เวลา 10-20 ปี หรือนานกว่านั้นในการพัฒนาจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
เพราะระยะเวลาการดำเนินโรคกินเวลาไปกว่าค่อนชีวิต ที่สำคัญผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวหลังติดเชื้อ HPV จึงทำให้มีผู้ป่วยติดเชื้อ HPV ไม่ได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ จนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด และที่น่ากลัวกว่านั้น ผู้ติดเชื้อมักไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ จึงทำให้แพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น เชื้อ HPV จึงเป็นภัยเงียบที่เป็นสาเหตุหลักของโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อไวรัส HPV คืออะไร?
เชื้อ HPV คือเชื้อที่ติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์เป็นหลัก แต่ไม่ได้หมายความว่าการมีคู่นอนเพียงคนเดียวจะทำให้ไม่ติดเชื้อ HPV เพราะหากคู่นอนของเราได้รับเชื้อ HPV เราก็สามารถติดเชื้อ HPV ได้เช่นกัน ซึ่งปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ทำให้ติดเชื้อมีดังนี้
รู้จักประเภทของ HPV ว่ามีกี่สายพันธุ์
เชื้อ HPV สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงต่ำและสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง แต่กลุ่มเสี่ยงสูงที่สามารถก่อให้เกิดโรคในปัจจุบันมีอยู่เพียงแค่ประมาณ 20 สายพันธุ์เท่านั้น โดยเฉพาะเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบการติดเชื้อมากที่สุด ซึ่งแต่ละสายพันธุ์สามารถก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ดังนี้
HPV สายพันธุ์ 16
HPV สายพันธุ์ 16 หรือ HPV Type 16 คือ เชื้อ HPV ชนิดที่มีความเสี่ยงสูงที่พบบ่อยได้ที่สุด ผู้ที่ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการที่เห็นได้ชัดเจน และส่งผลให้เซลล์ที่ปากมดลูกเปลี่ยนแปลง จนเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 50% ทั่วโลก นอกจากนี้ HPV สายพันธุ์ 16 ยังเป็นสาเหตุของมะเร็งทวารหนัก และมะเร็งลำคออีกด้วย
HPV สายพันธุ์ 18
HPV สายพันธุ์ 18 หรือ HPV Type 18 คือ ชนิดของ HPV ที่มีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกับ HPV สายพันธุ์ 16 โดยทั่วไปมักจะไม่แสดงอาการเช่นเดียวกัน และมักเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งต่อมลูกหมากอาการของ HPV มีอะไรบ้าง?
HVP คือเชื้อไวรัสที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคอันตรายมากมาย ซึ่งระยะในการดำเนินโรคมักใช้เวลานานมากกว่า 10-20 ปี โดยช่วงระยะดังกล่าว ผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการที่บ่งชี้ชัดเจน แต่อาจพบอาการทั่วไปที่สังเกตได้ยาก ยกตัวอย่างเช่น
หูดหงอนไก่ : หูดหงอนไก่ คือ ตุ่มเล็ก ๆ มีลักษณะขรุขระ อาจมีอาการคันแต่ไม่รู้สึกเจ็บ ผู้ป่วยจะมีตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิง บริเวณปากช่องคลอด หรือปากมดลูก เชื้อHPV ในผู้ชายก็สามารถทำให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศชายหรือทวารหนักได้เช่นกัน
ตกขาวผิดปกติ : ผู้ป่วยอาจพบตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีเลือดปนตกขาว หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอยจากช่องคลอด อาการจะเป็น ๆ หายๆ เมื่อร่างกายอ่อนแอก็อาจเกิดความผิดปกติในภายหลังได้ แต่ผู้ป่วยหญิงที่ได้รับเชื้อ HPV หลายรายก็มักจะไม่แสดงอาการ
ต่อมน้ำเหลืองผิดปกติ : ผู้ป่วยอาจพบต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโต อาจมีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกมาจากทวารหนัก รวมถึงมีอาการคัน โดยอาการดังกล่าวมักจะเป็นอาการของโรคมะเร็งทวารหนักซึ่งเป็นลักษณะการติดเชื้อ HPV ในผู้ชาย
องคชาตผิดปกติ : ผู้ป่วยชายอาจพบหนังองคชาตซีดและหนาตัวขึ้น มีก้อนหรือแผลบริเวณหนังองคชาตแต่ไม่รู้ตัว ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นอาการของมะเร็งองคชาตหรืออาการหลังติดเชื้อ HPV ในผู้ชาย
วิธีการรักษาหากติดเชื้อ HPV ทำอย่างไรเมื่อได้รับเชื้อ
หากได้รับการ HPV Screening หรือการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัส HPV แล้วพบว่ามีการติดเชื้อ ในปัจจุบันแพทย์จะทำเพียงการคอยเฝ้าระวังเท่านั้น แต่ถ้าหากผู้ป่วยได้รับเชื้อที่เป็นสายพันธุ์ความเสี่ยงสูงอย่างสายพันธุ์ 16 และ สายพันธุ์ 18 ก็อาจจะส่งผลให้เกิดโรคหูด หรือโรคมะเร็งได้ ซึ่งแพทย์ก็จะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไปตามอาการดังนี้
หากวินิจฉัยว่าเป็นโรคหูดหงอนไก่ แพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยปัจจุบันมีวิธีการรักษาหูดหงอนไก่หลายวิธี ทั้งการรักษาด้วยยาทา, การจี้ด้วยไฟฟ้า, การผ่าตัดชิ้นเนื้อ หรือการเลเซอร์ ถึงแม้ว่าจะกำจัดหูดออกไปได้ แต่ก็จะไม่สามารถกำจัดไวรัสที่แฝงอยู่ในร่างกายได้
หากวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง แพทย์ก็จะต้องพิจารณาแนวทางในการรักษาให้ผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เคมีบำบัด การฉายแสง หรือการผ่าตัด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะของโรคว่าอยู่ในระยะใด
ถ้าคุณกำลังป่วยเป็นมะเร็ง
กำลัง หมดหวัง ท้อแท้
เปิดใจ ชมคลิปนี้ เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษามะเร็ง
ทางเลือกใหม่.....ของการรักษามะเร็ง
ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง....... ไม่ให้ลุกลาม
เป็นการรักษามะเร็ง ด้วยวิธี ปลอดภัย
ไขข้อข้องใจ
สารสกัดเซซามิน......จากงาดำ เข้าไปทำอะไรกับ เซลล์มะเร็ง
หมอที่เก่งที่สุดในโลก คือ ร่างกายมนุษย์
หมอที่เก่งที่สุดในร่างกายมนุษย์ คือ "ภูมิคุ้มกัน"
สรุป สารสกัดเซซามิน (Sesamin)
เข้าไปทำอะไรกับ เซลล์มะเร็ง
เป็นมะเร็งอาจดูน่ากลัว
เมื่อเป็นแล้ว อาจเสียชีวิตได้
วันนี้!!! ป้องกันได้ ด้วยสารอาหารจากธรรมชาติ เนื่องจากวิทยาการทางการแพทย์มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง มีการใช้สารสกัดจากอาหารนำมาทานเพื่อดูแลฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกาย แต่ให้ประสิทธิผลดีกว่ายา
ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ค้นคว้ามากว่า 20 ปี จนกระทั่งคิดค้นสารสกัดเซซามิน ที่สามารถฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกายได้ เป็นครั้งแรกของโลก
รับชม ข่าว!!! นักวิจัยไทย ค้นพบ
สารเซซามินในงาดำ ครั้งแรกของโลก
ข่าว!!! การค้นพบสารเซซามินจากงาดำ เป็นผลงานวิจัยของ ม.เชียงใหม่ การค้นพบในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก ถือว่าเป็นการพัฒนาไปอีกก้าวของวงการแพทย์ไทย และที่สำคัญ นี่เป็นครั้งแรกของโลก ที่พบว่าสารเซซามิน (Sesamin) ที่พบนั้นจะไปยั้บยั้งการฟื้นฟูเซลล์จากการถูกทำลาย หรือพูดง่ายๆ ว่า มีโอกาสที่จะใช้ในการยับยั้งมะเร็งได้ด้วย
สารสกัด...เซซามิน เข้าไปทำอะไรกับ เซลล์มะเร็ง
คลิ๊ก.....ชมคลิปนี้ !!!
สุดยอดงานวิจัยไทย...
ค้นพบ 4 คุณสมบัติสำคัญ
เซซามิน สารสกัดจากงาดำ
ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ นักวิจัย ม.เชียงใหม่
ค้นพบ "สารสกัดเซซามิน (Sesamin)"
จากงาดำ....ทำลายเซลล์มะเร็ง
คณะนักวิจัยที่ค้นพบสรรพคุณ ของสารสกัดเซซามิน (Sesamin) ในเมล็ดงาเมล็ดเล็กๆ นี้นำทีมโดย ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้ทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตของท่านอยู่ในห้องทดลอง เพื่อค้นคว้าหาหนทางใหม่ๆ มาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยยั้บยั้งการอักเสบ
สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยลดทั้งการสังเคราะห์และลดการดูดซึมสารโคเรสเตอรอล
สารเซซามิน (Sesamin) ทำให้มะเร็งบางชนิดเข้าสู่ขบวนการทางชีวเคมีที่ทำให้เซลล์ตาย
สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยยั้บยั้งการลุกลามของมะเร็ง
สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นให้ร่างกายสร้างสาร IL2 และ IFN-Gramma จากเม็ดเลือดขาว
สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยดูแลเกี่ยวกับระดับน้ำตาลในเลือด
สารเซซามิน (Sesamin) ทำหน้าที่ช่วยเผาผลาญกรดไขมัน
สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยทำให้ วิตตามิน E ทำงานได้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น
สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยลดอาการปวด และอักเสบบริเวณต่างๆ ของร่างกาย
สารเซซามิน (Sesamin) ลดการเสื่อมสลายของข้อกระดูก และกระดูกอ่อน
สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก
สารเซซามิน (Sesamin) ยับยั้งการดูดซึมและสังเคราะห์โคเลสเตอรอลภายในร่างกาย
สารเซซามิน (Sesamin) มีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิต
สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยในการกำจัดสารพิษของตับ
สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
สารเซซามิน (Sesamin) มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามินอีให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย ที่ได้ทำการศึกษาที่หน่วยวิจัยมที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด
(Thailand Excellence Center for Tissue Engineering and Stem Cells) พบว่า
1. สารสกัดเซซามิน สามารถยับยั้งการทำงานของสารสื่ออักเสบ ชนิด IL-1 Beta ได้ โดยการศึกษา ได้ทำการวิจัยในเซลล์กระดูกอ่อนที่ถูกกระตุ้นด้วย IL-1 Beta และ เซซามิน (Sesamin) จากนั้นทำการศึกษาระดับโมเลกุล และพบว่า สารเซซามิน (Sesamin) สามารถยับยั้งการออกฤทธิ์ของ IL-1 Beta ได้ เป็นผลทำให้มีการลดลงของเอนไซม์ MMP13 ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจน และสารชีวโมเลกุลอื่นในกระดูกอ่อน ได้อย่างชัดเจน
2. สารสกัดเซซามิน สามารถลดปริมาณการสร้าง หรือสังเคราะห์ของสารสื่ออักเสบชนิด Interleukin-1 Beta และ Tumor Necrosis Factor-Alpha ได้ ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาวิจัย โดยการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวด้วยเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ซึ่งเป็นผลทำให้การหลั่งสารสื่ออักเสบเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อได้รับสารสกัดเซซามิน (Sesamin) ร่วมด้วย จะทำให้มีการสร้าง และปล่อยสารสื่ออักเสบ IL-1 Beta ออกมาลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน แสดงดังรูป
จากรูปแสดงให้เห็นว่า สารสกัดงาดำ เซซามิน สามารถยับยั้งการสร้างและปล่อยสารสื่ออักเสบออกมาจากเม็ดเลือดขาว
3. เมื่อทำการศึกษาวิจัยในอาสาสมัคร โดยให้กินแคปซูลงาดำ รำข้าวสีนิล และแป้งข้าวหอมมะลิที่ผ่านขบวนการนึ่งพิเศษ ขนาดบรรจุ 500 mg. จำนวน 2 แคปซูล ตอนเช้า และเย็น เป็นระยะเวลา 15 วัน เพื่อทำการตรวจสอบการแสดงออกของยีนส์ ที่สร้างสารชีวโมเลกุลชนิด Interleukin-2(IL-2) ซึ่งเป็นสารชีวโมเลกุลที่ผลิตขึ้นมาจากเม็ดเลือดขาว และมีคุณสมบัติที่สามารถไปกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้น ซึ่งพบว่า มีการเพิ่มขึ้นของ Cytokines ทั้งสองชนิดในเลือดของอาสาสมัครทุกคน แสดงดังรูป
สารสกัดเซซามิน (Sesamin) คือ สารสกัดงาดำและธัญพืชสูตรที่ดีที่สุด
เป็นผลงานวิจัยของนักวิจัยดีเด่น ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยที่มีความเป็นเลิศ ทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เป็นนวัตกรรมวิทยาศาสตร์ ระดับโมเลกุลของไทย ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และได้ยอมรับในเชิงวิชาการ โดยการได้จดสิทธิบัตรระดับโลก สามารถจัดจำหน่ายได้กว่า 78 ประเทศทั่วโลก
ปัจจุบันได้จดสิทธิบัตรเฉพาะประเทศ คือ ประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชา เป็นที่เรียบร้อย
สารสกัดเซซามิน SESAMIN เหมาะกับใครบ้าง?
มะเร็ง....ทุกระยะมีพิษร้ายแรง
อย่ารอให้ถึงระยะสุดท้ายแล้วค่อยรักษา
ตัดสินใจช้าอาจจะเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของคุณ
>>>แต่มีโอกาสรอดถ้าคุณรีบตัดสินใจ